“ฆาตกรปลาหมอ” ตายเพราะปาก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
7 เมษายน 2558

          ฆาตกร 3 ศพคาดไม่ถึงว่าการออกโทรทัศน์เพื่อแก้ต่างข้อกล่าวหาจะทำให้ตนเองถึงจุดจบเพราะเผลอรำพึงสารภาพโดยลืมไปว่ายังไม่ได้ถอดไมโครโฟนชนิดไร้สายออก ดังนั้นจึงเท่ากับบอกความจริงต่อหน้าคนดูรายการทั้งประเทศ

          Robert Durst ทายาทมหาเศรษฐีอเมริกันวัย 71 ปี ยินดีให้ HBO สัมภาษณ์ในรายการสารคดี “The Jinx: The Life and Deaths of Robert Durst” โดยแบ่งออกเป็น 6 ตอน ตอนสุดท้ายคือตอนที่มีคำสารภาพซึ่งออกอากาศไปเมื่อกลางเดือนมีนาคม 2015

          ชีวิตของ Robert นั้นแปลกอัศจรรย์ โลดโผน โหดร้ายทารุณอย่างเหลือเชื่อ เมื่อตอนอายุ 7 ขวบ เขาเห็นแม่กระโดดหรือพลาดตกลงมาจากยอดตึกของคฤหาสน์ครอบครัวเสียชีวิตจนเขาต้องเข้ารับการบำบัดจิตอยู่ระยะหนึ่ง

          พ่อของ Robert ร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปู่ของเขาเป็นยิวยากจนที่อพยพจาก Austria-Hungary แต่สามารถสร้างตัวได้อย่างประสบผลสำเร็จ สามารถตั้ง Durst Organization ซึ่งเป็นธุรกิจใหญ่ของครอบครัวใน ค.ศ. 1927

          Robert เรียนจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ในปี 1965 จาก Lehigh University ต่อมาเข้าเรียนหลักสูตรปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ที่ UCLA อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะใช้ชีวิตอิสระรักสันติภาพเต็มที่ สูบกัญชา บูชากูรู ฯ เช่นคนรุ่นนั้นในสหรัฐอเมริกา

          ในปี 1973 เขาแต่งงานกับ Kathleen McCormack หลังจากปีสุดท้ายที่เธอเรียน จบทันตแพทย์คือ 1982 ก็ไม่มีใครเห็นเธออีกเลย นี่คือศพแรกซึ่งก่อนหน้าเขาอาจ “ซ้อมมือ” ฆ่าเธอด้วยการฆ่าสุนัข เขาเลี้ยงสุนัขพันธุ์ Alaskan Malamutes รวม 7 ตัวต่อเนื่องกัน (ทุกตัวตั้งชื่อว่า Igor) และทุกตัวหายไปอย่างลึกลับในช่วงเวลาก่อนที่ภรรยาจะหายตัวไป

          Robert กลับมาช่วยงานครอบครัวในนิวยอร์กอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่จะหายตัวไปหลังจากทะเลาะกับพี่น้อง ศพที่สองของเขาคือผู้หญิงคนใหม่ที่อยู่กับเขานานนับสิบปี เธอชื่อ Susan Berman เป็นญาติกับกลุ่มมาเฟีย แต่มาเฟียก็มาเฟียเถอะไม่สามารถช่วยชีวิตเธอได้เพราะในวันคริสต์มาสอีฟของปี 2000 มีผู้พบศพของเธอถูกยิงที่หัวในสไตล์การฆ่าของแก๊งทรชน

          Robert รู้ว่าตำรวจตามกลิ่นเขาอยู่จากคดีภรรยาหายตัวไป เขาเป็นผู้ต้องสงสัย (ไม่ได้รายงานการหายไปของภรรยาเป็นเวลาถึง 4 วัน) เนื่องจากคำให้การเกี่ยวกับการพบภรรยา ครั้งสุดท้ายของเขาแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และไม่น่าเชื่อถือ Susan ถูกตำรวจเรียกไปให้การคดีฆาตกรรม Kathleen เพราะเชื่อว่า Robert น่าจะเล่าอะไรบางอย่างให้เธอฟัง แต่ก่อนที่เธอจะเดินทางไป ให้การ เธอก็ถูกฆ่าเสียก่อน

          การตายของ Susan ครั้งสุดท้ายทำให้ตำรวจมั่นใจยิ่งขึ้นว่าเขาเป็นฆาตกรจึงตามรอยเขาอยู่ตลอดเวลา ในปี 2000 เดียวกัน Robert แต่งกายเป็นหญิงด้วยเสื้อผ้าปอน ๆ ไปโผล่ขึ้นที่อพาร์ทเม้นท์ถูก ๆ ในเมือง Galveston รัฐเท็กซัส ในนามของ Dorothy Ciner (ชื่อจริงของเพื่อนหญิงในวัยเด็ก)

          อยู่ที่นั่นไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นอีก คือในเดือนกันยายนปี 2001 มีผู้พบชิ้นส่วนร่างกายของชายอายุ 71 ปี ชื่อ Moris Black พัดขึ้นมาบนชายหาด ถึงแม้จะไม่พบท่อนหัวแต่ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นชิ้นส่วนของเพื่อนบ้าน Dorothy (หรือ Robert) ตำรวจพบหยดเลือดเป็นทางระหว่างอพาร์ทเม้นท์ของ Black และ Dorothy

          เมื่อความแตกว่าเขาคือใคร เขาก็ถูกจับข้อหาฆ่า Black แต่ได้ประกันตัวและหนี เขาถูกจับได้ในเวลาไม่กี่เดือนต่อมาเมื่อแอบขโมยแซนวิชจากร้านทั้ง ๆ ที่เขามีเงินในกระเป๋า 500 เหรียญ และยังมีเงินสดอีก 37,000 เหรียญอยู่ในรถ พร้อมกับปืน 2 กระบอก กัญชาและใบขับขี่ของ Black

          Robert จ้างทนายมือดีว่าความให้ เขาให้การยอมรับว่าเป็นคนหั่นร่างของ Black จริงด้วยมีด เลื่อย และขวาน ก่อนที่จะนำไปโยนลงไปในอ่าว แต่ทั้งหมดนี้เขากระทำไปเพื่อป้องกันตัวเองจากชายแก่ขี้โมโหผู้นิยมความรุนแรง

          คณะลูกขุนตัดสินให้เขาหลุดจากข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ถูกลงโทษจำคุก 3 ปี แต่เขาติดอยู่เพียงปีเดียวก็ได้ออกมาในปี 2005 โดยมีเงื่อนไขว่าให้อยู่ใกล้บ้านตนเองห้ามเดินทางออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ดีเมื่อเขาหลบออกไปซื้อของนอกเขตก็บังเอิญพบผู้พิพากษาซึ่งจำเขาได้ เขาจึงถูกส่งเข้าคุกอีกครั้ง และหลุดออกมาได้อีกในเดือนมีนาคมปี 2006

          เรื่องราวชีวิตของเขาตอนที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าภรรยาถูกนำไปเป็นภาพยนตร์ชื่อ All Good Times ในปี 2010 Robert ถูกใจคนสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะทำให้เขาดูเป็นพระเอก ดังนั้นเมื่อผู้สร้างหันมาจับงานสารคดีของ HBO เล่าเรื่องชีวิตของเขา เขาจึงร่วมมือเต็มที่และเป็นจุดจบของเขาอย่างนึกไม่ถึง

          เรื่องราวจุดจบเป็นอย่างนี้ครับเมื่อการสัมภาษณ์จบลงเขาก็เข้าห้องน้ำพร้อมทั้งไมโครโฟนลอยโดยลืมนึกไปว่าการบันทึกเสียงก็ยังมีอยู่ เขาไปยืนหน้ากระจกและพูดกับตัวเองว่า “What the hell did I do? …..killed them all, of course” ข้อความที่อัดเสียงได้ชัดเจนนี้เปรียบเสมือนตะปูปิดฝาโลง

          ก่อนหน้าการสัมภาษณ์โดย HBO ไม่ถึง 24 ชั่วโมง เขาถูกจับในข้อหาฆ่า Susan Berman ซึ่งเปรียบเสมือนถูกจับใส่โลงไปแล้ว แต่ก็ไม่หวั่นไหวยังคงให้สัมภาษณ์แก้ต่างอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่ก็คงรำคาญเต็มทีกับข้อกล่าวหาจนไประเบิดออกในห้องน้ำด้วยประโยคทองตอก ฝาโลงของตนเอง

          เหตุใดชีวิตของผู้ได้รับการศึกษามาดี มีครอบครัวที่ดี เติบโตมาอย่างสบายจึงโลดโผน และรุนแรงระดับฆ่าคนตาย 3 คน ซึ่ง 2 คนในจำนวนนี้เป็นคนที่เคยรักใคร่อยู่กินกันมาเป็นระยะเวลานาน

          สิ่งต่อไปนี้มีบทบาทอย่างไร และมากน้อยเพียงใดในการกำหนดชะตากรรมของเขา เช่น การเห็นแม่ตนเองเสียชีวิต การใช้ชีวิตอย่างอิสระในยุคปลายทศวรรษ 1960 อย่างไร้ขีดจำกัด ธรรมชาติของการชอบใช้ความรุนแรง ความเกเรในกมลสันดาน ความเจ็บป่วยของจิตใจ ความขัดแย้งกับผลประโยชน์ในครอบครัว ฯลฯ

          ไม่ว่าปัจจัยใดมีอิทธิพลมากน้อยเพียงไร การฆ่าคน 3 คนก็อภัยให้ไม่ได้ สวรรค์อาจมีตาจนทำให้สุภาษิตไทย “ปลาหมอตายเพราะปาก” เป็นจริงขึ้นมา

สักการะพุทธสังเวชนียสถาน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
31 มีนาคม 2558

          เพิ่งเคยไปสักการะพุทธสังเวชนียสถานทั้งสี่ตำบลที่อินเดียและเนปาลเป็นครั้งแรก และเกิดความรู้สึกหลายอย่างที่อยากสื่อต่อ สิ่งที่เขียนนี้อาจซ้ำซากสำหรับท่านที่เคยไปมาแล้วต้องขออภัยด้วย

          เพื่อนร่วมเรียนชั้นมัธยมและเพื่อนฝูงรวม 16 ชีวิตได้เดินทางไปสวนลุมพินีวัน (สถานที่ประสูติ) ตำบลพุทธคยา (สถานที่ตรัสรู้) ตำบลสารนาถ (สถานที่แสดงปฐมเทศนา) และตำบลกุสินารา (สถานที่ปรินิพพาน) แห่งแรกอยู่ในเนปาล ที่เหลืออยู่ในอินเดียในรัฐพิหาร (Bihar หรือ วิหาร) ซึ่งเป็นรัฐที่จนที่สุด รายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทย 6-7 เท่าตัว

          บริเวณที่ไปนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ปีหนึ่งเดินทางไปสักการะได้ไม่เกิน 3 เดือน (ช่วงปลายปีถึงประมาณเกือบปลายมีนาคมซึ่งคือช่วงหน้าหนาว เพราะ 9 เดือนที่เหลืออากาศร้อนมาก ๆ และมีฝุ่นมาก การเดินทางปัจจุบันสะดวกกว่าเก่าเพราะเดินทางได้ด้วยเครื่องบินเกือบทั้งหมด มีบางจุดเท่านั้นที่ต้องนั่งรถ
ความรู้สึกแรกก็คืออินเดียนั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน คือ เห็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่มีการเสแสร้ง คนจนก็จนสุด ๆ ที่รวยก็รวยสุด ๆ ผู้เขียนไปอินเดียมา 6-7 ครั้ง ๆ ละสั้น ๆ แต่ก็ไม่เคยมาบริเวณนี้เลย เป็นความตั้งใจมาตลอดชีวิตว่าอยากมาสัมผัสพุทธิภูมิของบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเป็นตัวเรามากที่สุดคนหนึ่ง เมื่อมาถึงแล้วก็รู้สึกสับสน ใจหนึ่งยินดีที่ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจมานาน แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกสลดใจที่ความยากจนสุด ๆ นั้นมันยังคงอยู่อย่างแนบแน่นกับคนอินเดียส่วนหนึ่ง และอาจมีจำนวนหลายร้อยล้านคนในประชากร 1,300 ล้านคน ด้วย

          ระหว่างทางที่นั่งรถปรับอากาศประมาณ 8 ชั่วโมงกว่าในตอนบ่ายจากพาราณสีสู่เมือง กุสินารานั้น ได้เห็นภาพชนบทที่งดงามและเห็นชีวิตของคนที่ลำบากยากจนมากสองข้างทางที่ ต้องทำงานหนักสารพัดเพื่อเอาตัวรอด และมันก็คงเป็นมาหลายพันชั่วคน (มนุษย์มีหน้าตาแบบปัจจุบันยาวนานประมาณ 7,500 ชั่วคน) และดูท่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกหลายชั่วคน เชื่อว่าชีวิตของบรรพบุรุษ ในสมัยพุทธกาลกับปัจจุบันก็คงไม่มีอะไรแตกต่างกันนัก 2,500 กว่าปีผ่านมาแต่ก็ยังต่อสู้กับความยากจนเหมือนเดิม

          ใครที่มีโลภะสูงเมื่อเห็นคนเหล่านี้แล้ว มั่นใจว่าจะมีดีกรีลดลงไปเป็นอันมาก เพราะเขาไม่มีอะไรเลยก็ยังอยู่กันมาได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ นี่แหละคือความ ‘พอเพียง’ ที่ทำให้เขาอยู่กันมาได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์แสนสาหัส ทุกวันอาหารก็ไม่แตกต่างกัน ทนร้อนสุดและหนาวสุดด้วยบ้านหลังเล็กที่อยู่กันแน่น อาบน้ำ ซักผ้า ก็ต้องใช้ปั้มน้ำสาธารณะริมถนนร่วมกัน ส่วนส้วมก็คือทุ่งใหญ่ที่มีอากาศถ่ายเทร่มเย็นเป็นธรรมชาติ

          เกิดความรู้สึกขัดแย้งกันในประการแรกคือระหว่างความยินดีที่ได้ไปกับความสลดใจที่ได้เห็นความยากจนยังไม่พอ ยังมีความรู้สึกขัดแย้งในประการที่สองคือรู้สึกว่าเราไม่สามารถช่วยคนเหล่านี้ได้เลยถึงแม้เราจะสามารถช่วยบางคนได้บ้างก็ตามที

          ขอทานที่มีอยู่มากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กนั้น การขอของเขาก็คือการทำงาน อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่มันมีจำนวนมากมายจนเป็นที่รู้กันว่าห้ามให้อย่างเปิดเผยเป็น อันขาด มิฉะนั้นอาจถูกกลุ้มรุมด้วยคนเป็นร้อยๆ วุ่นวายปั่นป่วนไปหมด การให้เด็กคนหนึ่ง สักร้อยสองร้อยบาท (บาทเป็นสกุลที่ผู้คนบริเวณนี้ยินดีต้อนรับ) เป็นสิ่งที่ทำได้โดยเราไม่เดือดร้อน และเงินจำนวนนี้ ถือว่ามากพอควรหากเทียบกับที่ให้กัน 10 รูปี (6 บาท) แต่เราก็ไม่อาจให้ได้ และมันก็มิใช่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนด้วย

          คนไทยที่ไปนั้นส่วนใหญ่นุ่งห่มขาว มีจำนวนมากเป็นร้อย ๆ คนที่เห็นในเวลา 7 วัน ทั้งหมดล้วนใจบุญ ชอบแจกเงิน แจกขนม แจกปากกา โดยรับทราบมาว่าต้องมีจังหวะ อันเหมาะสมในการแจก เช่น ให้แล้วขึ้นรถหรือไม่ก็ให้จากหน้าต่าง แต่ถ้าหากโยนลงไปเด็กอาจแย่งกันจนเกิดอันตรายได้หากของเข้าไปอยู่ใต้ท้องรถ

          ความรู้สึกประการที่สามคือความรู้สึกปิติว่าได้มายังจุดหรือสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เคยประทับ ความรู้สึกเหมือนกับไปสุโขทัย เชียงใหม่ หรืออยุธยา คือรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต สิ่งนี้ทำให้เกิดความสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้นถึงแม้จะเป็นพุทธมามกะ มาตลอดชีวิตก็ตาม รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างพระพุทธเจ้ากับตัวเราแคบลง

          เมื่อก่อนรู้สึกว่าการสวดมนต์เป็นสิ่งเกินจำเป็น หากเรารักษาศีลห้า ทำความดี ละเว้นความชั่ว ไม่เบียดเบียนใครอย่างตั้งใจ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่เมื่อได้เห็นการสวดมนต์กันอย่างจริงจังของเพื่อนผู้ร่วมเดินทางซึ่งมีพระเป็นผู้นำสวดในสถานที่สำคัญทุกแห่ง และเห็นคนไทยอื่น ๆ ที่ไปก็ล้วนสวดมนต์กันทั้งนั้น (ชาติอื่น ๆ ที่ไปสักการะก็คือธิเบต เนปาล ไต้หวัน จีน เวียดนาม ศรีลังกา เริ่มมีพม่ามากขึ้น) การอยู่ในสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศเช่นนี้ทำให้เกิดเห็นว่าการสวดมนต์เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เป็นวาทกรรมที่ทำให้เกิดความรู้สึกมุ่งมั่นกระทำตามหลักการของศาสนายิ่งขึ้น ทำให้จิตใจสงบ เกิดศรัทธายิ่งขึ้น ฯลฯ บทสวดมนต์ล้วนมีความหมายอันงดงามและเป็นมงคล การเปล่งวาจาตอกย้ำคำพูดเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งเสริมความเจริญสำหรับตนเองอย่างแน่นอน การร้องเพลงยังปลุกใจได้ แล้วทำไมการสวดมนต์จะมีประสิทธิภาพด้อยกว่าไปได้

          ในประการที่สี่ การเดินทางครั้งนี้ทำให้เข้าใจบริบททางสังคมและการเมืองของประวัติศาสตร์พุทธศาสนาและพระพุทธเจ้า ตลอดจนเรื่องราวของประเทศอินเดียซึ่งเป็นความสนใจของผู้เขียนมานานแล้วมากขึ้น ครั้งใดที่รู้สึกว่าประสบความลำบากในการเดินทางเมื่อนึกขึ้นมาว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าและผู้คนในสมัยนั้น ตลอดจนผู้คนยากจนสองข้างทางประสบนั้นหนักหนาสาหัสกว่าเราเป็นอันมาก เราแค่ต้องอดทนเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน แต่พวกเขาสิต้องทนไปตลอดชีวิต

          การเดินทางครั้งนี้เป็นไปตามที่พระท่านกล่าวคือต้องไปด้วยใจ ไม่ใช่ไปด้วยปาก (ได้กินอาหารอร่อย) ไปด้วยกาย (สะดวกสบาย) ไปด้วยตา (ความงดงาม) ไปด้วยหลัง (นอนสบาย) ไปด้วยสัมผัส (สุขสบายกายและใจ) ผู้เขียนเห็นว่ามันเป็นเที่ยวเดินทางทางจิตวิญญาณโดยแท้ เมื่อกลับมาแล้วก็ยังนึกถึง และอยากกลับไปเมืองใกล้เคียงอื่น ๆ ที่ไม่ได้ไป เช่น เมืองสาวัตถี ซึ่งเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลาประทับอยู่นานถึง 24 ปี ในเวลาที่เสด็จจาริกไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ คำสอนในช่วงเวลา 45 ปี และเป็นที่ตั้งของเชตวันวิหารและวัดบุพพารามซึ่งเป็นสถานที่ประทับสำคัญของพระพุทธเจ้าด้วย

          โลกผันแปรไปไม่รู้จบ ปัจจุบันเด็ก ๆ เรียกแขกผู้มาเยือนโดยเฉพาะคนไทยว่า “มหาราชา มหารานี” แทนที่จะเรียก ‘อาจารย์’ อย่างเก่า จนทำให้อดอมยิ้มไม่ได้ว่าช่างไปสรรหามาเรียกพร้อมกับพูดภาษาไทยต่อรองราคาได้คล่องแคล่ว คิดดูเถอะแม้แต่เด็ก ๆ ก็ยังปรับตัวตามโลกจากโลกธรรมสู่โลกทุนนิยม

          ถ้าถามว่านอกจากได้รับรสพระธรรมที่ได้รับรู้มาตั้งแต่เด็ก ๆ เพิ่มเติมแล้ว มีอะไรที่เป็นข้อคิดบ้าง ผู้เขียนชอบพระปัจฉิมวาจาก่อนปรินิพพานซึ่งมีความหมายที่ดีมากสำหรับท่าน ส.ว.ทุกคน ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาพวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

รู้จักภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
24 มีนาคม 2558

          เรื่องที่เขียนวันนี้อาจไม่ถูกใจท่านผู้อ่านเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต้องเสียเงิน แต่ก็จำเป็นต้องนำเสนอเพราะมันเป็นเรื่องสำคัญของการเป็นพลเมืองที่ดี ที่จะกล่าวถึงนี้ก็คือเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่กำลังพูดถึงกันอยู่มากในขณะนี้

          ในเบื้องต้นขอเรียนว่าภาษีที่เก็บบนมูลค่าทรัพย์สินนั้นที่จริงไม่ใช่ของใหม่ ประเทศต่าง ๆ ในโลกที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงบ้านเราเขามีกันทั้งนั้นโดยเฉพาะบางประเทศใน ASEAN ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ส่วนไทยนั้นก็มีเหมือนกันมายาวนาน เพียงแต่มันบิดเบี้ยวไม่เป็นธรรมจนต้องมีข้อเสนอใหม่จากรัฐบาลชุดนี้ในเรื่องการเก็บภาษี บนฐานทรัพย์สินที่เป็นมาตรฐานของโลก

          ในปัจจุบันเรามีอย่างน้อยสองภาษีที่เก็บจากฐานทรัพย์สิน ภาษีแรกคือภาษีบำรุงท้องที่ที่เราจ่ายให้ กทม. หรือเทศบาลกัน มีหลายอัตราของการจัดเก็บ ถ้าที่ดินว่างเปล่าก็ถูกเก็บแพงหน่อย แต่ปัญหาก็คือมีข้อยกเว้น กล่าวคือเขตต่าง ๆ ของเมืองประกาศพื้นที่ขั้นต่ำที่ได้รับการยกเว้น เช่น 100 ตารางวา หรือนอกเมือง เช่น 1 ไร่

          ถ้าใครมีที่ดินต่ำกว่า 100 ตารางวาในเขตนั้น หรือนอกเมืองต่ำกว่า 1 ไร่ ก็ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว ภาษีที่สองคือภาษีโรงเรือนและที่ดินที่เก็บจากค่าเช่า แต่ถ้าไม่มีการเช่าเพราะอยู่เองก็ได้รับการยกเว้นทั้งหมด

          ถ้าใครมีบ้านมูลค่า 100 ล้านบาท อยู่บนเนื้อที่ต่ำกว่า 100 ตารางวา ก็ไม่ต้องเสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียวเพราะได้รับการยกเว้นจากภาษีทั้งสอง แต่ถ้าใครมีบ้านหลังเล็ก ๆ ทำการค้า บนพื้นที่ต่ำกว่า 100 ตารางวา ก็ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 12.5 ของค่าเช่าที่ได้รับตามกฎหมายภาษีโรงเรือนของ พ.ศ. 2477 ส่วนที่ดินได้รับการยกเว้นจากภาษีบำรุงท้องที่

          เมื่อมันมีโอกาสไม่เป็นธรรมเช่นนี้ และมีข้อยกเว้นมากมายจนท้องถิ่นทั่วประเทศไทยเก็บได้น้อยมากเพียงปีละ 25,000 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นจึงมีความพยายามตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ที่จะปรับปรุงด้วยการยกเลิกสองภาษีนี้และใช้ภาษีใหม่ที่ใช้มูลค่าที่ดินและมูลค่าที่อยู่อาศัยเป็นฐานภาษีตรง ๆ ไปเลย และมีข้อยกเว้นที่ทำให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด

          หลายรัฐบาลพยายามริเริ่มภาษีเช่นนี้แต่ก็เลิกไปทุกครั้งเพราะกลัวประชาชนจะไม่พอใจ (ไม่มีใครอยากเสียภาษีเพิ่มเป็นธรรมดา) แต่ครั้งนี้อยู่ในยุคปฏิรูปจึงมีความกล้าที่จะเสนอภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้างโดยเก็บในอัตราที่ต่ำมาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

          ตามข้อเสนอนั้นประเภทที่อยู่อาศัยถ้ามีมูลค่าต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเลย มูลค่า 1.5-5 ล้านบาทเสียภาษีในอัตรา 0.1 (หนึ่งล้านบาทจะเสียภาษีหนึ่งพันบาท) แต่จะลดให้ครึ่งหนึ่ง กล่าวคือถ้ามูลค่า 5 ล้านบาทก็ต้องเสียภาษี 5,000 บาท แต่เนื่องจากลดครึ่งหนึ่งจึงเสียภาษีแค่ 2,500 บาทต่อปี

          ที่อยู่อาศัยมูลค่า 5 ล้านบาทขึ้นไปเสียภาษีอัตราร้อยละ 0.1 เช่น บ้านมูลค่า 10 ล้านบาทก็เสียภาษี 10,000 บาทต่อปี ซึ่งถ้าคนมีบ้านราคาขนาดนี้ก็ควรมีปัญญาจ่ายภาษีที่ น้อยกว่าค่าประกันรถยนต์

          มูลค่าที่อยู่อาศัยนี้มาจากราคาประเมินไม่ใช่ราคาตลาดซึ่งหมายถึงมูลค่าที่มาจากการประเมินหลังจากหักค่าเสื่อมไปแล้ว ซึ่งข้อเสนอก็มีการให้หักค่าเสื่อมของสิ่งปลูกสร้างถึง 69 แบบ เช่น ถ้าเป็นบ้านไม้ถ้ามีอายุ 19 ปี ก็ให้ลดหย่อนถึง 93% ของมูลค่าซึ่งหมายความว่ากว่าเจ้าของที่อยู่อาศัยจะเสียภาษี ก็ต้องหามูลค่าประเมินหลังจากหักค่าลดหย่อนตามอายุของสิ่งปลูกสร้างเสียก่อนจึงจะคิดภาษี

          เมื่อเป็นอย่างนี้ ภาษีที่เจ้าของที่อยู่อาศัยต้องจ่ายจริงจึงน้อยมาก ๆ ต่อปี อาจเป็นร้อย ๆ บาทก็เป็นได้ และจะเริ่มเก็บภาษีในอีก 1 หรือ 2 ปี ข้างหน้า ใครที่กังวลใจกลัวเสียภาษีจนนอน ไม่หลับก็พอคลายความกังวลใจได้ และจะตระหนักว่าความเป็นพลเมืองดีอันมาจากการปฏิบัติหน้าที่ในการเสียภาษีนั้นมีราคาไม่แพงเลย

          มีการคาดคะเนว่าจะเก็บภาษีเช่นนี้ได้ถึง 200,000 ล้านบาทต่อปีโดยท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นการลดภาระของรัฐบาลกลางไปมากโดยไม่ต้องจ่ายเงินอุดหนุนให้ท้องถิ่นมากมายดังเคย จนสามารถเอาเงินนี้ไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟรางคู่ รถไฟใต้ดินบนดิน เครือข่ายไอที ใช้หนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่เป็นแสน ๆ ล้านบาท โครงสร้างบริการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุที่จะพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 30 ของประชากรในเวลา 15-20 ปี ชดเชยรายได้จากภาษีขาเข้าที่หายไปอันเนื่องจากการเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน ฯลฯ

          ประเทศเรามีความจำเป็นในการหารายได้จากภาษีอากรอย่างมากใน 20-30 ปีข้างหน้า เรามีรายได้ที่หลุดรอดไปจากการเสียภาษีมากมาย เมื่อเก็บตอนเป็นรายได้ไม่ได้ก็สามารถตามไปเก็บได้ตอนเป็นทรัพย์สินที่อยู่อาศัยซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมีเลขที่ตามกฎหมายและย้ายหนีไม่ได้

          สำหรับทรัพย์สินประเภทที่ดินนั้นหากใช้เพื่อการเกษตรกรต่ำสุดคือร้อยละ 0.05 (หนึ่งล้านบาทจ่าย 500 บาท) เพื่อการพาณิชย์ร้อยละ 0.2 (หนึ่งล้านจ่าย 2,000 บาท) ที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะโดนหนักคือร้อยละ 0.5 (หนึ่งล้านบาทจ่าย 5,000 บาท) ซึ่งจะจูงใจให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่ปล่อยไว้โดยไร้ประโยชน์

          บ่อยครั้งที่เราอาจลืมไปว่าประโยชน์ที่เราได้รับจากภาครัฐ ไม่ว่าถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา ความปลอดภัย บริการสาธารณสุข ฯลฯ ล้วนมาจากการลงทุนมหาศาลซึ่งมาจากเงินภาษีอากรของประชาชน ทังสิ้น ถ้าประชาชนไม่ร่วมกันจ่ายภาษีก็ไม่มีเงินมาสร้างสิ่งเหล่านี้ได้เลย เมื่อเราต้องการสิ่งเหล่านี้เราก็ต้องช่วยกันจ่ายภาษี

          ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างช่วยสร้างความเป็นธรรม เพราะคนมีเงินน้อยมีมูลค่าทรัพย์สินน้อยก็จ่ายน้อยหรือไม่ต้องจ่ายเลย ใครมีทรัพย์สินมากก็จ่ายมาก ลักษณะเช่นนี้เป็นธรรม เพราะคนมีทรัพย์สินมากก็ได้รับการคุ้มครองจากรัฐมากกว่าคนมีทรัพย์สินน้อย (ถ้าสูญหายไปก็เสียประโยชน์มากเพราะมีทรัพย์สินมาก) ทางใดที่จะทำให้คนมีเงินต้องจ่ายภาษีมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันในบ้านเรานั้นถูกต้องทั้งสิ้นเพราะเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการหลีกเลี่ยงภาษีของคนมีเงินในสังคมไทยนั้นเป็นเกมส์ที่คนเหล่านี้ประสบชัยชนะมายาวนาน

          อย่ากังวลใจกับภาษีนี้เลยครับเพราะสิ่งแน่นอนสองอย่างในชีวิตที่เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้คือความตายและการเสียภาษี

ประธานาธิบดีอุ้มอธิบดีตำรวจ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17 มีนาคม 2558

          บัลลังก์ของประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซียสั่นสะเทือนเมื่อประสบกับการท้าทายครั้งใหญ่หลังจากดำรงตำแหน่งได้ไม่ถึง 5 เดือน ไม่น่าเชื่อว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล’ เป็นตัวการเขย่าสำคัญขนาดนี้

          Joko WidodÓ หรือ Jokowi คือชื่อของประธานาธิบดีคนใหม่ สื่อและประชาชนเรียกชื่อเล่นเพราะสั้นและง่ายกว่า ปัจจุบันอายุ 53 ปี เป็นวิศวกรที่ครั้งหนึ่งเป็นเซลส์แมนขายเฟอร์นิเจอร์ Jokowi ฟอร์มสดเพราะไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับกลุ่มอำนาจเก่าซึ่งประกอบด้วยนักการเมืองและเผด็จการทหาร ประชาชนเบื่อหน่ายคนเก่า ๆ จึงเลือกผู้ว่าการมหานครจาร์กาต้าที่มีผลงานน่าประทับใจมาเป็นประธานาธิบดี

          อินโดนีเซียได้รับอิสรภาพจากเนธอร์แลนด์ในปี 1945 ประธานาธิบดีคนแรกคือ Sukarno (ครองอำนาจอยู่ 22 ปี) ตามมาด้วย Suharto (ครองอำนาจอยู่ 31 ปีเต็ม จนหมดอำนาจในปี 1998) ถัดมาคือ Habibie เป็นประธานาธิบดีอยู่สั้น ๆ โดยมี Wahid ประธานาธิบดีตาพิการได้รับเลือกตั้งเป็นคนแรกในปี 1999 และเมื่อถูกถอดถอนในปี 2001 รองประธานาธิบดีคือนาง Megawati บุตรสาวของประธานาธิบดี Sukarno จึงเป็นแทน

          ในการเลือกตั้งในปี 2004 เธอก็พ่ายแพ้ Susilo Bambang Yudhoyono (SBY) อดีตทหารเก่า SBY ครองอยู่ 10 ปี เป็นต่อไม่ได้ จึงมีการเลือกตั้งในปี 2014 และได้ Jokowi มา

          Jokowi ต้องต่อสู้อย่างหนักกับนายพล Subianto (อดีตลูกเขยของประธานาธิบดี Sukarno และอดีตนายทหารใหญ่ของ Suharto) หัวหน้าพรรค Gerindra ซึ่งมีเงินมากและดูจะเป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจเก่า ส่วน Jokowi จำเป็นต้องอาศัยใบบุญของนาง Megawai หัวหน้าพรรค PDI-P ลงเลือกตั้ง (โปรดสังเกตความสัมพันธ์ตรงนี้ให้ดี)

          ประชาชนเลือก Jokowi เพราะเขาสัญญาว่าจะปราบคอร์รัปชั่น โค่นอำนาจเก่า แก้ไขสิ่งไม่ถูกต้องทั้งมวล และด้วยผลงานเก่ากอบความสามารถในการสื่อสารกับคนล่างสุดซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประชาชน 250 ล้านคนของอินโดนีเซีย เขาจึงได้รับเลือก

          ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง Jokowi ต้องแก้ระเบิดเวลาที่ Subianto วางไว้ในรัฐสภาก่อนที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งนั่นก็คือการแต่งตั้งผู้นำท้องถิ่นแทนการเลือกตั้ง กับอีกเรื่องหนึ่งคือการลดเงินอุดหนุนราคาน้ำมันซึ่งกินงบประมาณรัฐบาลถึงปีละ 25% Jokowi โชคดีอย่างยิ่งเพราะก่อนดำเนินการสักพัก ราคาน้ำมันก็ตกลงอย่างมหาศาลโดยลดลงไปกว่า 50% Jokowi จึงรอดไปเพราะรัฐบาลไม่ต้องกังวลเรื่องลดการจ่ายเงินอุดหนุนราคาน้ำมันเนื่องจากราคามันตกลงมามากด้วยตัวของมันเอง

          พ้นไป 2 เรื่องใหญ่ไม่พอ Jokowi เจอเรื่องที่สามที่ทำให้จุกอันเนื่องมาจากการตัดสินใจของเขาในเรื่องนี้จนทำให้ประชาชนพอใจผลงานของเขาเพียง 45% (ตกจาก 72% เมื่อตอนเข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ)

          เขาตัดสินใจอย่างไร ในเรื่องอะไร ที่ทำให้ความนิยมตกได้มากขนาดนั้น? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ เมื่อกลางเดือนมกราคม 2015 เขาเสนอชื่อนายพลตำรวจเอกชื่อ Budi Gunawan เป็นอธิบดีกรมตำรวจซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทรงอำนาจอย่างยิ่งในอินโดนีเซีย

          แต่ทันทีที่เขาส่งชื่อให้รัฐสภาลงมติให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งครั้งนี้ หน่วยงานชื่อ KPK (Corruption Eradication Commission) หรือ ‘ปปช. ของอินโดนีเซีย’ ประกาศว่า Budi เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฟอกเงินเนื่องจากพบหลักฐานว่าระหว่างปี 2005-2008 เขาถอนและฝากเงินเป็นจำนวนรวม 5.9 ล้านเหรียญ (ประมาณ 192 ล้านบาท) ในหลายธนาคาร

          ถึงแม้หน่วยงาน KPK ซึ่งดุมาก และมีประวัติศาสตร์ของการปราบคอร์รัปชั่นที่น่าชื่นชม (เอารัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐนับร้อยคนเข้าคุก) ประกาศออกมาเช่นนั้น แต่ Jokowi ก็ไม่ถอย ยังคงเดินหน้าต่อไป

          คำถามว่าเหตุใด Jokowi จึงไม่ทบทวนการแต่งตั้ง Budi เมื่อมีข้อกล่าวหาเช่นนี้ แต่กลับล็อบบี้รัฐสภาซึ่งพรรค PDI-P ที่เขาสังกัดมีที่นั่งเพียง 20% ในรัฐสภาเท่านั้น คำตอบก็คือ ‘ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล’ Budi นั้นในอดีตเป็นนายทหารใหญ่ประจำตัวประธานาธิบดีที่มีชื่อว่า Megawati ซึ่งเป็นคนเดียวกับหัวหน้าพรรคของเขา

          เรื่องตึงเครียดอยู่ถึง 1 เดือนเต็ม จนในที่สุด Jokowi ก็อุ้ม Budi ต่อไปไม่ไหว เขาประกาศแต่งตั้งนายตำรวจคนอื่นแทน ตลอดเวลาที่ผ่านมาประชาชนก็สนุกปากกับการวิจารณ์การเป็นหนุ่มใหญ่หน้าตาดี มีหนวดคมเข้ม อายุ 55 ปี ใกล้ชิดมากกับอดีตประธานาธิบดีหญิงหม้ายอายุ 67 ปี

          ประชาชนเชื่อว่า Budi เป็นเด็กฝากจากหัวหน้าพรรคของ Jokowi เช่นเดียวกับรัฐมนตรีหลายคนที่มาจากสายของเธอ การตัดสินใจเช่นนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนาง Megawati มีปัญหาขึ้นมาทันที

          นาง Megawati เคยแต่งงานมาแล้ว 3 ครั้ง สามีคนแรกเป็นทหารตกเครื่องบินเสียชีวิตในปี 1970 สามีคนที่สองเป็นนักการทูตชาวอียิปต์โดยแต่งงานกันในปี 1972 แต่ก็หย่ากันในเวลาไม่นาน สามีคนที่สามเป็นคนอินโดนีเซียโดยแต่งงานกันในปี 1973 และอยู่ด้วยกันมาจนเสียชีวิตในปี 2013

          เธอเคยลงเลือกตั้งแข่งกับ SBY เป็นประธานาธิบดีถึง 2 ครั้ง คือในปี 2004 และในปี 2009 แต่พ่ายแพ้ทั้งสองครั้ง ครั้งล่าสุดจึงสนับสนุนนาย Jokowi ลงแข่งขันกับนายพล Subianto ซึ่งถึงแม้จะได้คะแนนน้อยกว่าแต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ฟ้องศาลว่า Jokowi โกงเลือกตั้ง และรวมกลุ่มพรรคพวกในรัฐสภาเป็นกลุ่มก้อนเตรียมฟันนาย Jokowi เพราะเชื่อว่าเขาคงเป็นประธานาธิบดีได้ไม่นาน เนื่องจากเป็น ‘คนนอก’ ไม่มีสมัครพรรคพวกและเงินทองเท่ากลุ่มอำนาจเก่า

          บทเรียนจากเรื่องนี้ก็คือถึงแม้รัฐธรรมนูญจะบังคับให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งอธิบดีกรมตำรวจเพื่อกรองมิให้คนไม่ดีเข้าดำรงตำแหน่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็สามารถเล็ดลอด ตัวหนังสือได้ถึงแม้จะมีประวัติในเรื่องคอร์รัปชั่นก็ตาม ทั้งนี้เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนกลัวนายพล Budi เพราะเขาเก็บสะสมความลับของนักการเมืองหลายคนไว้ในมือ ดังนั้นจึงได้รับความเห็นชอบอย่างไม่ยากนัก

          การมีชื่อเสียงดีเป็นทรัพย์สินที่มีค่าอย่างยิ่งก็จริงอยู่ แต่ภายใต้เงื่อนไขที่บิดเบี้ยว คนมีชื่อเสียงไม่ดีก็อาจเป็นใหญ่เป็นโตได้เพราะคนให้ความเห็นชอบก็เป็นคนลักษณะเดียวกัน

ผู้นำหญิงกับคดีฆาตกรรม

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
12 มีนาคม 2558

          หนึ่งในผู้นำหญิงซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนนักในโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักเนื่องจากผู้คนประมาณครึ่งประเทศเชื่อว่าเธอเป็นผู้อยู่เบื้องหลังฆาตกรรมอัยการที่กำลังจะเปิดโปงเรื่องเลวร้ายของเธอ

          เธอผู้นี้คือประธานาธิบดีประเทศอาร์เจนติน่า ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Cristina Fernández de Kirchner ประชาชนมักเรียกเธอสั้น ๆ ว่า Cristina Fernández ถึงแม้จะได้รับเลือกตั้งเข้ามาถึงสองเทอมต่อกันด้วยคะแนนที่ชนะขาดลอย แต่เธอก็หลีกหนีสิ่งไม่ดีหลายอย่างที่เธอได้ทำไว้และมันกำลังตามมาล่าเธอ

          เธอเป็นประธานาธิบดีหญิงคนที่สองของประเทศนี้ แต่เป็นคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเนื่องจากคนแรกได้เป็นประธานาธิบดีโดยไม่ได้รับเลือกตั้ง เราจะค่อย ๆ แกะกันออกดูครับว่าเธอได้กลายเป็น ‘ฆาตกร’ ในสายตาประชาชนไปได้อย่างไร

          อาร์เจนติน่ามีชะตากรรมที่แปลกอย่างไม่น่าเชื่อ มีพื้นที่ถึงกว่า 3 ล้านตารางกิโลเมตร (6 เท่าของไทย) แต่มีประชากรเพียง 43 ล้านคน จากประเทศที่ร่ำรวยในตอนต้นศตวรรษที่ 20 เนื่องจากมีการอพยพของคนยุโรปเข้าไปเป็นระลอกเพื่อทำมาหากินกับทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์จนเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 7 ของโลก อย่างไรก็ดีภายหลังปี 1930 การขาดเสถียรภาพทางการเมืองอย่างหนักทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจเลวร้ายลงเป็นลำดับจนกลายเป็นประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนา ในปลายทศวรรษ 1970 ก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเป็นลำดับจนปัจจุบันประชากรมีรายได้ต่อหัวถึง 380,000 บาทต่อปี (ไทย 180,000 บาท)

          เรารู้จักเพลง Don’t Cry for me Argentina ซึ่งเกี่ยวพันกับชีวิตของ Eva Duarte (“Evita”) ภรรยาของประธานาธิบดีเผด็จการทหาร Juan Peron เธอเป็นนักประชานิยมตัวยง ระดมเงินแบบบังคับจากคนรวยมาแจกคนจน และระหว่างทางเธอก็รวยและเปรียบเสมือน

          ‘พระเจ้า’ ไปด้วย ตอนเธอตายผู้คนร่ำไห้ ยืนเข้าแถวคารวะศพเธอเป็นเรือนแสน ต่อมาอีกหลายปีเมื่อ Peron กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ภรรยาใหม่ของเขาก็เป็นรองประธานาธิบดี เมื่อประธานาธิบดี Peron ตายใน ค.ศ. 1974 Maria Estela Martinez ก็ได้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอาร์เจนตินา

          กลับมาที่ Cristina Fernández ก่อนหน้าได้เป็นประธานาธิบดี เธอเป็นภรรยาของประธานาธิบดี Nestor Kirchner (เป็นประธานาธิบดีระหว่างปี 2003-2007) และเมื่อหมดเทอมลงเธอก็สมัครเป็นประธานาธิบดี และได้รับเลือก (คนอาร์เจนตินาดูจะเป็นโรค ‘ติดเมีย’ กันทั้งประเทศ คือ ‘ติดเมีย’ ประธานาธิบดี มักได้รับตำแหน่งต่อจากสามีกันเสมอ) เป็นประธานาธิบดีระหว่าง ค.ศ. 2007-2011 และในการเลือกตั้งเทอมที่สอง (ค.ศ. 2011 เป็นต้นมา) เธอก็ชนะอีก

          เธอเป็นนักการเมืองมาตลอดโดยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ วุฒิสมาชิกตั้งแต่ ค.ศ. 1991 จนถึงได้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งระหว่าง ค.ศ. 2003-2007

          Cristina Fernandez เป็นนักการเมืองที่มีฝีมือ ถึงแม้จะได้รับคะแนนเลือกตั้งมาท่วมท้น แต่ความสำเร็จในการเป็นประธานาธิบดีของเธอก็แปดเปี้ยนด้วยคอร์รัปชั่น การเล่นพรรคเล่นพวก การตกแต่งตัวเลขสถิติโดยเฉพาะเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การแทรกแซงและควบคุมด้วยการใช้หน่วยงานเก็บภาษีเป็นเครื่องมือข่มขู่ ฯลฯ และข้อหาล่าสุดคือคอร์รัปชั่นเชิงอำนาจ กล่าวคือใช้อำนาจตามกฎหมายที่ได้รับมาเพื่อประโยชน์ของสาธารณะมาใช้เป็นประโยชน์สำหรับตัวเธอและพรรคพวก

          เรื่องราวมันเป็นดังนี้ครับ มีอัยการใหญ่ไฟแรง กล่าวหาเธอในโทรทัศน์เป็นเวลาหลายวันว่าเขามีหลักฐานจากการดักฟังโทรศัพท์ของหลายคนในภาครัฐเป็นแรมเดือน ตลอดจนหลักฐานอื่น ๆ จากต่างประเทศว่าประธานาธิบดีมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือชาวอิหร่าน 5 คน ซึ่งเป็นมือระเบิดตึกที่ตั้งสมาคมความสัมพันธ์ระหว่างอาร์เจนติน่าและยิวเมื่อปี 1994 จนคนยิวตายไป 85 คน และบาดเจ็บอีกนับร้อยคน ประธานาธิบดีกระทำไปเพื่อการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิหร่านเพื่อแลกเปลี่ยนธัญพืชกับน้ำมันมูลค่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐที่อาร์เจนติน่าขาดอยู่ ทุกปี การกระทำเช่นนี้คือการขัดขวางกระบวนการยุติธรรม (Obstruction of Justice) ซึ่งมีโทษอาญา

          อัยการใหญ่ผู้นี้มีชื่อว่า Alberto Nisman เป็นผู้รับผิดชอบเข้ามาผลักดันและหาผู้กระทำผิดในคดีระเบิดอายุเกือบ 20 ปี เขาใช้วิธีปากโป้งในโทรทัศน์ว่าจะเปิดโปงเรื่องนี้ให้หมดต่อหน้ากรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรในวันจันทร์ที่จะถึงเมื่อกลางเดือนมกราคม 2015 แต่ในที่สุดการเปิดเผยก็ไม่เกิดขึ้นเพราะ Nisman ฆ่าตัวตายในวันอาทิตย์เสียก่อน

          คนทั้งประเทศสนุกปากกับการคาดเดาว่าเขาฆ่าตัวตายเองจริงหรือ หากไม่จริงใครเป็นคนฆ่า โพลใหญ่หนึ่งของประเทศระบุผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนว่ากว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่าประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้อยู่เบื้องหลังฆาตกรรม

          ใครที่อยู่ในสถานะนี้ย่อมเดือดร้อนอย่างยิ่ง ในระดับโลกปัจจุบันมีตัวอย่างที่อดีตผู้นำประเทศติดคุกกันหลายคน เช่น ประธานาธิบดีฟูจิโมริของเปรู ประธานาธิบดีและภรรยาของไต้หวัน ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้สองคน ประธานาธิบดีอิสราเอล ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์สองคน ต่อสู้คดีอาญามายาวนาน ประธานศาลรัฐธรรมนูญและรัฐมนตรีหลายคนของอินโดนีเซีย ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้นอดีตประธานาธิบดีของอาร์เจนติน่าคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนคือประธานาธิบดี Menem ถูกตัดสินไปหนึ่งคดีและถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในคดีระเบิดนี้ด้วย

          คนไทยเรามีกำแพงใจมานานว่าคนใหญ่คนโตไทยติดคุกไม่ได้ แต่กำแพงนี้กำลังถูกทำลายลงทุกวันด้วยตัวอย่างที่เห็นจากต่างประเทศ

เรื่องเล่าของราเม็ง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
3 มีนาคม 2558 

          คนไทยเที่ยวญี่ปุ่นกันสนุกจนคำว่า “ราเม็ง” (Ramen) “โซบะ” (Soba) และ “อูด็อง” (Udon) คุ้นหู ถ้าถามถึงความแตกต่างก็อาจตอบว่ามันก็เป็นเส้น ๆ น้ำ ๆ “เซม ๆ ไลด์แพะกับแกะ”

          ในความเป็นจริงอาหาร 3 จานนี้แตกต่างกันอย่างเด่นชัด รสชาติถึงจะคล้ายกันแต่ก็แตกต่างกัน เส้นยิ่งไม่เหมือนกันใหญ่เพราะทำจากวัสดุคนละอย่าง

          “ราเม็ง” มีหน้าตาเหมือนก๋วยเตี๋ยวน้ำที่เส้นเป็นสีเหลือง มักมีชิ้นหมูหั่นบาง ๆ หรือ ไข่ต้มฝานลอยอยู่บนหน้า แต่ถึงหน้าตาจะเป็นญี่ปุ่นแต่จริง ๆ แล้วมาจากจีน

          ไม่มีใครรู้ประวัติศาสตร์ที่แน่นอนของ “ราเม็ง” ผู้เชี่ยวชาญมั่นใจแต่ว่ามาจากจีนเพราะ “ราเม็ง” เป็นการออกเสียงคำภาษาจีนว่า lamian ของคนญี่ปุ่น ก่อนหน้า ค.ศ. 1950 “ราเม็ง” มีชื่อว่า “Shina soba” (แปลตรงคำว่า Chinese soba) เปลี่ยนมาเป็น Chûkka soba หรือ “ราเม็ง” ในปัจจุบัน

          ประมาณ ค.ศ. 1900 มีภัตตาคารญี่ปุ่นขายอาหารจีนจากกวางตุ้ง และเซี่ยงไฮ้อยู่หลายแห่งและขายรวมไปถึงอาหารธรรมดา ๆ คือ Shina soba ซึ่งน้ำซุปมาจากกระดูกหมูต้มเกลือกับเส้นหมี่ด้วย ต่อมาเส้นหมี่แบบนี้ก็เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้แรงงาน คนขายคือคนจีนในญี่ปุ่นโดยขายเป็นซุ้มริมถนนคู่ไปกับ “เกี๊ยวซ่า” (Gy?za)

          หลังสงครามโลกครั้งที่สองมีการนำเข้าแป้งสาลีราคาถูกจากสหรัฐอเมริกาเป็นปริมาณมากซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ทหารญี่ปุ่นจำนวนมากกลับจากสงครามที่รบกับจีน (ค.ศ. 1937-1945) ทหารจำนวนมากเหล่านี้หลายคนคุ้นเคยกับอาหารจีนจึงกลับมาตั้งร้านอาหารจีนไปทั่วทั้งญี่ปุ่น ขายสิ่งที่เรียกกันว่า “ราเม็ง” ซึ่งเป็นที่นิยมมากเพราะมีรสชาติอร่อย แต่รับบริการกันได้เฉพาะโอกาสพิเศษเพราะราคาไม่ถูกนัก

          จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1958 เมื่อมีผู้คิดประดิษฐ์บะหมี่สำเร็จรูปโดยนาย Momofuku Ando ผู้ก่อตั้งบริษัทใหญ่เชื้อสายไต้หวันญี่ปุ่นผลิต “ราเม็ง” ชนิดสำเร็จรูปแบบ “มาม่า ยำยำ ไวไว” ที่ทำให้ใครก็สามารถบริโภคได้ในราคาถูก ความนิยม “ราเม็ง” จึงพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

          ในทศวรรษ 1980 “ราเม็ง” ก็กลายเป็นอาหารประจำชาติญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว “ราเม็ง” มีลักษณะและรสชาติเฉพาะ แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น โดยมีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของตัวเองจนในปี 1994 มีพิพิธภัณฑ์ “ราเม็ง” เกิดขึ้นในเมือง Yokohama

          สิ่งที่ทำให้ “ราเม็ง” แตกต่างกันนั้นมี 2 อย่างคือตัวเส้นกับน้ำซุป โดยทั่วไปเส้น “ราเม็ง” จะประกอบด้วยวัสดุ 4 อย่างคือ แป้งสาลี เกลือ น้ำ และ Kansui ซึ่งเป็นน้ำแร่มีส่วนผสมของโซเดียมคาร์บอเนตและโพแทสเซียมคาร์บอเนต การใส่น้ำ Kansui ทำให้เส้นมีสีเหลืองอ่อนและเนื้อแน่น ผู้ผลิตบางเจ้าที่คุณภาพรองลงมาก็ใช้ไข่แทน Kansui (สำหรับเส้นที่ไม่ใส่ทั้ง Kansui และไข่ ก็จะเป็นเส้นหมี่สำหรับผัด Yakisoba อาหารญี่ปุ่นที่เป็นเส้นแห้งผัดน้ำมันและซอสพิเศษออกหวานเผ็ด ๆ) เส้น “ราเม็ง” มีหลายรูปแบบและความยาว มีทั้งหนา บาง เส้นกว้างแบบริบบิ้น เป็นเส้นตรงหรือคดงอ

          สำหรับน้ำซุปนั้นโดยทั่วไปมาจากน้ำต้มไก่หรือหมูผสมกับผงปลาทูน่า สาหร่ายทะเล ปลาซาดีนแห้ง เห็ดชิตาเกะ หัวหอม โดยเติมเกลือหรือ Miso (ถั่วเหลืองบดเค็ม) หรือน้ำปลาญี่ปุ่น

          ด้วยน้ำซุปและเส้นเช่นนี้จึงออกมาเป็น “ราเม็ง” 4 ชนิดด้วยกัน กล่าวคือ (1) shio ramen ซึ่งน่าจะเป็น “ราเม็ง” ชนิดเก่าแก่ที่สุด น้ำซุปจะใสออกสีเหลืองและใส่เกลือหนักหน่อย ผสมไก่ ผัก ปลา และสาหร่ายทะเล บางครั้งก็มีกระดูกหมู แต่จะไม่ต้มนาน เส้นนั้นเนื้อแน่นและหนาพอควร เป็นเส้นตรง โรยหน้าด้วยแผ่นไส้กรอกปลาสีขาวแซมชมพูหรือแดง

          (2) tonkotsu “ราเม็ง” มีซุปขุ่นข้นเพราะเคี่ยวกระดูกหมู ไขมัน เอ็น เป็นเวลาหลายชั่วโมง มักผสมน้ำซุปข้นจากไก่และผักด้วย เส้นบางและตรง โรยหน้าด้วยน้ำมันงา

          (3) shoyu “ราเม็ง” มีน้ำซุปใสสีน้ำตาลซึ่งมาจากการต้มไก่และผัก โดยใส่น้ำปลาญี่ปุ่นหนักมือหน่อย เส้นมักจะขดงอไม่ตรง แต่งหน้าด้วยหน่อไม้หมัก ต้นหอม ไข่ต้ม ถั่วงอก โรยพริกไทย บางครั้งก็ใส่เครื่องเทศจีน ซอสพริกในน้ำซุป

          (4) miso “ราเม็ง” เป็น “ราเม็ง” ที่มาล่าสุด เริ่มเป็นที่รู้จักกันดีในประมาณ ค.ศ. 1965 ถือได้ว่าเป็นของญี่ปุ่นแท้โดยพัฒนาจากฮอกไกโด น้ำซุปใส่ miso อย่างหนักมือผสมด้วยน้ำซุปข้นจากปลา หรือน้ำมันไก่ หรือน้ำมันหมู ดังนั้นน้ำซุปจึงข้นมาก มีรสจัด มักโรยหน้าด้วยใบหอม หมูบด งา กระเทียมบด น้ำพริกบด เส้นนั้นหนา ขดงอ และค่อนข้างเหนียว

          สำหรับโซบะนั้นเป็นอาหารดั้งเดิมของชาว Edo (ชื่อสมัยใหม่คือโตเกียว) มาตั้งแต่สมัย โชกุน (ค.ศ. 1192-1867) คำว่าโซบะหมายถึง buckwheat (ธัญพืชชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่ข้าวสาลี) ซึ่งเป็นต้นน้ำที่เอามาทำแป้งและเป็นเส้นโซบะ ข้าวสาลีนี้อุดมด้วยสาร thiamine ซึ่งช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน (beri beri) ซึ่งเป็นการแก้ไขการบริโภคแต่ข้าวขาวซึ่งขาดสารนี้ได้เป็นอย่างดี โซบะจะมีเส้นบางออกไปทางกลม บริโภคได้ทั้งร้อนในซุปกับทั้งเย็น

          อูด็องนั้นทำจากแป้งสาลีเหมือนกันแต่เส้นหนา ยาว ขาว (ไม่อยากบอกว่าคล้ายตัวตืดที่อ้วนพี) คนญี่ปุ่นบริโภคกันมากกว่า 800 ปีเช่นเดียวกับโซบะ น้ำซุปก็มีรสชาติหลากหลายกันออกไปตามท้องถิ่น ถือได้ว่าเป็นอาหารญี่ปุ่นที่เก่าแก่กว่า “ราเม็ง” หลายร้อยปี

          ไม่ว่าจะเป็นราเม็ง โซบะ หรืออูด็อง ทั้งหมดล้วนมีที่มาจากจีนซึ่งบริโภคอาหารเส้นแบบนี้มานับพัน ๆ ปี เชื่อกันว่า pasta ชนิดเส้นของอิตาลีก็น่าจะมาจากจีนเช่นเดียวกันโดย มาโคโปโลเป็นผู้นำมาเมื่อประมาณ 700-800 ปีก่อน

          การทราบที่มาที่ไปของอาหารเหล่านี้อาจทำให้ท่านผู้อ่านบริโภคด้วยความสนุก และด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์ของมันมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตามรับรองได้ว่าช่วยทำให้มีแคลอรี่ให้เผาหลาญมากขึ้นแน่ ๆ

ทำร้ายตนเองด้วยคำโม้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
24 กุมภาพันธ์ 2558

          มีนักปรัชญ์กล่าวไว้ว่า “เรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเองมักเกินความจริง” คำกล่าวนี้ใช้ได้กับคนเกือบทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของ Brian Williams นักอ่านข่าวทีวีชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ที่น่าสนใจก็คือพูดเกินจริงเพียงครั้งเดียวทำให้สูญเสียรายได้ปีละ 320 ล้านบาทไป

          การพูดเกินเลยความจริงไปบ้างนั้นมนุษย์ก็กระทำด้วยกันทั้งนั้นแหละ เพื่อความสนุกตื่นเต้น เพื่อโน้มน้าวคนฟัง เพื่อให้เห็นความสำคัญของคนพูด เพื่อลวงให้เข้าใจผิด เพื่อสร้างภาพ ฯลฯ แต่สำหรับบางคนมันก็อาจฝังลึกจนเป็นนิสัยได้

          กรณีของ Brian William นั้นไม่น่าเชื่อว่าเพียงการพูดเกินความจริงไม่มากและ ครั้งเดียวเท่านั้นก็ทำลายเขาได้ ถ้าเขาอยู่ในประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา เช่น สารขัณฑ์แล้ว คงเห็นว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเพราะคนประเทศนี้เห็นโกหกคำโตกันทุกวันเป็นประจำ

          Brain Williams เป็นคนที่วงการทีวีอเมริกันเรียกว่า Anchorman (Anchor = สมอเรือ) หรือ Anchorwoman คือเป็นพิธีกรหลักคนสำคัญในรายการข่าวของเครือข่ายทีวี ซึ่งเขาถือว่าเป็นรายการสำคัญโดยเฉพาะในตอนเย็น Anchorman ออกรายการอื่น ๆ ของเครือข่ายด้วยและแสดงตนให้คนดูทีวีเห็นว่าเป็นคนสำคัญของสังคมและเป็นตัวแทนของเครือข่าย พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นมากกว่าผู้อ่านข่าวมากมาย

          ในสหรัฐอเมริกาเครือข่ายโทรทัศน์ดั้งเดิมในระดับชาติประเภทที่ไม่ใช่เคเบิลก็ได้แก่ NBC / CBS / ABC ฯลฯ ซึ่งแข่งขันกันอย่างมากเพื่อแย่งเรทติ้งอันมีผลต่อรายได้อย่างสำคัญ

          Anchorman ไม่ใช่มานั่งอ่านข่าวเท่านั้น หากเป็นคนเลือกข่าว ให้ลำดับความสำคัญของข่าว ศึกษาเนื้อหาและวิเคราะห์ข่าวและแนวโน้มเหตุการณ์สำคัญ ข่าวแต่ละชิ้นจะตรวจแก้ไขแต่งเติม และสำหรับบางข่าวสำคัญจะเป็นคนเขียนสองสามประโยคนำเพื่อดึงดูดความสนใจในข่าว บ่อยครั้งต้องออกทำข่าวภาคสนามเช่นเดินทางไปในสนามรบ เหตุการณ์ภัยพิบัติ ฯลฯ

          ความเป็น Anchorman ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว มีท่วงท่าพูดน่าเชื่อถือและไว้วางใจ หน้าตาดี และเหนือกว่าสิ่งอื่นใดต้องมี “กึ๋น”

          Brian William มีสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เขาจึงได้เป็น Anchorman ของ NBC ในรายการ NBC Nightly News มายาวนานถึง 10 ปี ก่อนหน้านี้ NBC เป็นรองเครือข่ายอื่นอยู่ แต่ด้วยผลงานของเขาตั้งแต่ปี 2007 NBC ก็กลายเป็นหมายเลขหนึ่งของรายการข่าวตอนเย็น

          คนดูชอบหน้าตาอันหล่อเหลา และชอบท่วงท่าการพูดที่มีจังหวะจะโคนน่าเชื่อถือ ซึ่งคุณลักษณะหลังนี้สำคัญมากสำหรับ Anchorman เนื่องจากถ้าคนดูไม่เชื่อถือไว้วางใจคำพูดของเขาแล้ว รายการก็จะตกจากความนิยมของผู้ชม

          ตรงจุดนี้แหละที่ทำให้เขาดับ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ เมื่อมีคนสัมภาษณ์เขาในปี 2013 เขาเล่าว่าเขาเคยไปทำข่าวตอนที่อเมริกาบุกอิรักในปี 2003 โดยเฮลิคอปเตอร์ที่เขานั่งไปถูกยิงด้วยจรวด RPG และในรายการข่าวของเขาเมื่อ 30 มกราคม 2015 เขาก็พูดอย่างเดียวกันอีก คราวนี้ก็เป็นเรื่องขึ้นมาอย่างที่เขาคาดไม่ถึง

          ช่างเครี่องเฮลิคอปเตอร์ของหนึ่งใน 3 ลำที่บินไปด้วยกันในครั้งที่ Brian Williams กล่าวถึงเขียนใน facebook ว่า Brian พูดเกินเลยความจริงเพราะลำที่เขานั่งไปไม่โดน RPG อีกลำต่างหากที่ถูกยิงจนต้องลงจอดฉุกเฉิน ลำที่ Brian นั่งไปนั้นมาถึงจุดเกิดเหตุหลังจากเหตุการณ์ถูกยิงแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง คนที่อยู่ในเหตุการณ์คนอื่น ๆ ก็ออกมายืนยันตรงกัน

          Brian หายเงียบไปพักหนึ่งแล้วตอบอย่างมึน ๆ ออกมาว่าเขาผิดพลาดไปเพราะมัวแต่คิดจะชื่นชมนักบิน และเมื่อถูกรุกหนักเข้าเขาก็บอกว่าจำผิดไป

          ข้อสงสัยก็คือเหตุใดเขาต้องพูดสิ่งที่ไม่จริง คำตอบก็คงเป็นดังที่กล่าวไปแล้ว ในการพูดครั้งแรกของเขานั้นไม่มีใครออกมาโต้ตอบ แต่การพูดครั้งหลังในรายการข่าวของเขาเองส่งผลกระทบอย่างที่เขาเองนึกไม่ถึง เพราะสำหรับคนที่รู้เรื่องราวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดีเห็นว่ามัน “ล้ำเส้น” เกินไป

          Brian William ถึงเรียนไม่จบปริญญาตรี แต่ก็มีความสามารถสูง และมีประสบการณ์ยาวนาน ได้รับรางวัลด้านทีวีมากมายจน NBC ไว้ใจให้เขาเป็น Anchorman มานานถึง 10 ปี เขาไม่เคยผิดพลาดจนมาถึงการโม้เกินความจริงในครั้งนี้ซึ่งอาจทำให้คนดูไม่ให้ความเชื่อถือและไว้วางใจเขาอีกต่อไป

          NBC ประเมินความรู้สึกของผู้ชมอยู่หลายวัน และขณะนี้เขามิได้ออกรายการ NBC Nightly News แล้ว แหล่งข่าวบอกว่าเขางดออกรายการไปสักพักหนึ่งเท่านั้น บ้างก็ว่า NBC เขี่ยเขาออกไปแล้วเพราะทำให้เรทติ้งตก

          ในประเทศที่การแข่งขันของเครือข่ายโทรทัศน์สูงยิ่งเช่นสหรัฐอเมริกา การจ้องจับผิดและการพยายาม ‘เจาะยาง’ คู่แข่งนั้นเป็นสิ่งที่พอคาดเดาได้ เมื่อ Brian William เปิดแผลตัวเองด้วยเรื่องโม้ไร้สาระ มันก็กลายเป็นประเด็นของการขาดความไว้วางใจ ไร้ความน่าเชื่อถือสำหรับผู้ชมไปได้

          คำกล่าวของ Albert Einstein ว่า “ถ้าโกหกได้แม้แต่ในเรื่องเล็ก ๆ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่โกหกในเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ได้” คงก้องหูคนอเมริกันจนทำให้ Brian Williams ชวดเงิน 320 ล้านบาทจากการพูดเพียงไม่กี่วินาที

          “คำพูดวิ่งเร็วกว่าม้า” เป็นสุภาษิตตะวันตกเมื่อยุคสมัยโบราณที่ยังคงเป็นความจริงในยุคสมัยที่ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในพริบตาและสามารถตรวจสอบความจริงได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นผู้มีทางโน้นที่จะโม้โอ้อวดตนเองเกินกว่าความจริงต้องระวังเป็นพิเศษ

          ถึงแม้วัฒนธรรมของประเทศอื่นจะไม่เข้มข้นในเรื่องนี้อย่างเช่นสหรัฐอเมริกา แต่ก็ไม่อาจนอนใจได้ว่าในจังหวะและโอกาสที่เหมาะ ๆ (แต่ไม่เป็นมงคลสำหรับผู้พูด) สังคมไทยจะไม่มี Brian 2 ได้

ข้อคิดกินใจ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17 กุมภาพันธ์ 2558

          สมาร์ทโฟนไม่ได้มีข้อเสียที่ทำให้เรามีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อที่คอและการเหมือนคนบ้านั่งก้มหน้าอยู่ในโลกของเราคนเดียวโดยไม่พูดจากับผู้คนเท่านั้น ข้อดีก็มีอยู่มาก สิ่งหนึ่งก็คือข้อมูลดี ๆ ที่แลกเปลี่ยนกัน โดยเฉพาะข้อเขียนที่กินใจและทำให้เกิดความคิดต่อเนื่อง วันนี้ผมขอนำเอาบางข้อเขียนที่ได้คัดเลือกมาเรียนเสนอท่านผู้อ่าน

          ชิ้นแรก คือข้อเขียนสั้น ๆ ของท่าน ว.วชิระเมธี เรื่อง “ปาฏิหารย์แห่งการให้” ซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้ (1) ให้ “เวลา” แก่คนที่คุณรัก (2) ให้ “ความรัก” แก่คนในครอบครัว (3) ให้ “ความกตัญญู” แก่บุพการี (4) ให้ “ความรับผิดชอบ” แก่การทำงาน (5) ให้ “อภัย” แก่คนที่หลงผิด (6) ให้ “ความรู้” แก่ผู้ที่ยังเขลา (7) ให้ “ทาน” แก่คนที่ยังขัดสน (8) ให้ “อนาคตที่ดี” แก่คนรุ่นหลัง (9) ให้ “มิตรภาพ” แก่คนทั้งโลก (10) ให้ “ความทุ่มเท” แก่งานที่ทำ (11) ให้ “ความจริงใจ” แก่สัมพันธภาพ (12) ให้ “ความซื่อสัตย์” แก่การทำงาน (13) ให้ “ความเสียสละ” แก่ประเทศชาติ (14) ให้ “ความยินดี” แก่ผู้ประสบความสำเร็จ (15) ให้ “ความ ปล่อยวาง” แก่สิ่งสุดวิสัย (16) ให้ “ความเป็นธรรม” แก่ผู้ถูกรังแก (17) ให้ “มรรคา” แก่ผู้ที่ยังหลงทาง (18) ให้ “ที่พึ่งทางใจ” แก่ผู้สับสน (19) ให้ “อิสรภาพ” แก่ผู้ถูกกิเลสครอบงำ (20) ให้ “โอกาส”แก่ตนเองได้ลิ้มรสพระธรรม

          ชิ้นที่สองเป็น 20 ข้อที่ควรให้ลูกรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 45 …..(1) ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไปในสายวิชาที่ตนเลือก แต่ภาษาอังกฤษจำเป็นมาก ๆ จงให้ใส่ใจ ส่วนวิชาอื่น ๆ เอาแค่ดีพอหางาน ดี ๆ ทำก็พอ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรดภาษาอังกฤษสร้างผลงานได้ (2) การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมากพอ ๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน (3) เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่าอาชีพนั้น..สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง (4) เมื่อถึงวัยทำงานใครเก็บเงินก่อนรวยเร็วกว่า และสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ “ชีวิตที่ไม่มีหนี้คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด” (5) หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมันจะเป็นเครื่อง นำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป (6) ซื้อบ้านก่อนที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถมีแต่มูลค่าลดลงชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด (7) ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมากรีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลันก่อนที่จะแก่แล้วผ่อนไม่ไหว (8) การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรกสู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมาคือ ต้องรู้จักลงทุน อย่าลืมคบกับที่ปรึกษาการเงินไว้เป็นเพื่อน (9) อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลก ใบนี้ เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มากจนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้ (10) คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

          (11) ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน เพราะความมั่นคงไม่เคยมีบนโลกใบนี้ (12) อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียวเพราะความสามารถของคนเรามีมากกว่า 1 เสมอ (13) เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามาจงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลวแต่มันก็คือประสบการณ์ (14) สร้างเนื้อ สร้างตัวให้ได้เร็วที่สุดในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก (15) ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว เพราะเมื่อมีครอบครัวการเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม (16) เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดี ๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน (17) การมีแฟนหรือสามีภรรยายังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่ลูกนั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นควรดูแลพวกเขาให้ดี ๆ (18) ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้ (19) ลองหาเวลาอยู่ว่าง ๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต (20) สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่งโปรดถนอมตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่นอย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป

          ชิ้นที่สามมาจากงานศึกษาของ Dr.Pillemer อาจารย์จาก Cornell ได้ทำการสัมภาษณ์คนแก่ชาวอเมริกันที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปกว่า 1,200 คน โดยตั้งคำถามว่า “จากประสบการณ์ ชั่วชีวิตอะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” แล้วเอามาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living แต่ 30 เยอะไป..ลองมาดู Top 10 Lessons for Living กัน…..

          (1) เลือกอาชีพที่รักที่ชอบมากกว่าผลตอบแทนทางการเงิน (choose a career for the intrinsic rewards, not the financial ones) คนแก่ ๆ ว่ามันเคยเป็นความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพเพราะไปเลือกที่ผลตอบแทนมากกว่าจะทำในสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ (2) ให้ทำราวกับจะต้องใช้ร่างกายนี้ไปอีกสักร้อยปี (act now like you will need your body for a hundred years) แปลว่าให้ลด ละ เลิก พฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อโรคทั้งหลายที่ทำอยู่มันไม่ได้ทำให้เราตายทันทีแต่มันจะทรมานเราตอนแก่นี่แหละ (3) ตอบรับโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต (say “Yes” to opportunities) มีอะไรดี ๆ แจ๋ว ๆ ผ่านเข้ามาอย่าไปปฏิเสธมันเพราะจะต้องมานั่งเสียใจเสียดายทีหลังแน่นอน (4) เลือกคู่ทั้งทีเล็งให้ดีเสียก่อน (choose a mate with extreme care) อย่าด่วนตัดสินใจ ให้ใช้เวลาทำความรู้จักให้ถ่องแท้ มีคนให้สัมภาษณ์คนหนึ่งว่า “Don’t rush in without knowing each other deeply. That’s very dangerous, but people do it all the time.”

          (5) เที่ยวเข้าไว้ (travel more) อันนี้ถูกจริตมาก เมื่อมีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวก็ไปเถิด ก่อนจะไปไม่ไหว คนส่วนใหญ่ที่ถูกสัมภาษณ์บอกว่ามันเป็นคุณค่า เป็น highlights ของชีวิตเลยเชียว หลายคนเสียดายเมื่อมองย้อนไปแล้วพลาดการท่องเที่ยวผจญภัยในชีวิต มีคนแก่คนนึงว่า “If you have to make a decision whether you want to remodel your kitchen or take a trip — well, I say, choose the trip!” (6) อยากจะพูด อยากจะบอก ก็พูด ก็บอก เสียเดี๋ยวนี้ (say it now) ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเมื่อยังมีโอกาสพูด คนแก่มักจะเสียใจและเสียดายว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เจ้าตัวอยากจะพูดกับหลาย ๆ คนเพราะเราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

          (7) เวลามีค่า (time is of the essence) ความจริงคือชีวิตนี้สั้นนักแต่ไม่ควรเศร้า เราควรทำสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยวนี้ อายุมากขึ้น เวลายิ่งโบยบินไปอย่างเร็ว มีป้าคนหนึ่งว่า “I wish I’d learned that in my thirties instead of in my sixties!” (8) ความสุขคือการเลือก สิ่งที่เลือกเองไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากเงื่อนไข (happiness is a choice, not a condition) ความสุขไม่ใช่ความสมบรูณ์แบบหรือเป็นไปตาม สิ่งที่เกิดขึ้นที่คาดหวังของคนเราสามารถสุขได้ เพราะเราเลือกที่จะสุขไม่ว่าจะมีอุปสรรคใด ๆ ในชีวิต คนแก่ให้คำแนะนำว่าจงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเราเองตลอดชีวิตเรา (9) การเอาเวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่างๆ เป็นการเสียเวลา (time spent worrying is time wasted) หยุดกังวลนะ หรืออย่างน้อยตัดกังวลออกไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้น (10) คิดเล็ก ๆ (think small) ไม่ต้องคิดใหญ่ การซึมซับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเรื่องสวยงาม เป็นสิ่งดี ๆ ในชีวิต เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับมัน

          ข้อคิดทั้งหมดเหล่านี้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อคนอ่านนำไปปฏิบัติจริง หรือนำไปคิดต่อยอด หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงในการมองโลกและวิธีคิด แต่ถ้าอ่านไปก็เห็นชอบไป แต่ผ่านซีกหูหนึ่งออกไปอีกซีกหูหนึ่ง โดยซึมผ่านสมองซึ่งกั้นอยู่ตรงกลาง โดยไม่เกิดสิ่งใดเลยดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะทั้ง 3 ชิ้นดังกล่าวนี้เป็นที่ชื่นชอบของคนนับแสนนับล้านคนมาแล้ว

แชมป์มวยหญิงอินเดีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
10 กุมภาพันธ์ 2558

          เกิดเป็นหญิงก็แสนยากอยู่แล้วในประเทศนี้แถมยากจนมากและเป็นชนกลุ่มน้อยอีกด้วย ชีวิตของเธอจึงไม่น่าจะมีอนาคต อย่างไรก็ดีเธอต่อสู้ฝ่าด่านอันเจ็บปวดจนเป็นหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุด คนหนึ่งของอินเดียในปัจจุบัน เธอคือ Mary Kom นักมวยหญิงมีชื่อระดับโลก

          Mary มีชื่อดั้งเดิมว่า Mangate Chungneijang ซึ่งแปลกหูจากชื่อคนอินเดียฮินดู โดยทั่วไป ทั้งนี้ก็เพราะเธอเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีชื่อว่า Kom ในรัฐ Manipur (มณีปุระ) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย

          เมื่อดูแผนที่ทางทิศตะวันออกของอินเดียจะเห็นหน้าตาที่แปลก ดินแดนอินเดีย โอบล้อมบังคลาเทศ (เดิมชื่อว่าปากีสถานตะวันออกหลังอินเดียได้รับอิสรภาพปี ค.ศ. 1947 และเปลี่ยนมาเป็นบังคลาเทศใน ค.ศ. 1971) ทั้งด้านตะวันตกและตะวันออก โดยมีทางผ่านแคบ ๆ ทางเหนือที่ติดกับภูฏาน และรัฐสิกขิม (เดิมเป็นประเทศสิกขิมและถูกยึดกลายเป็นรัฐหนึ่งของอินเดียใน ค.ศ. 1975 ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ภูฏานจึงต้องระวังอินเดียเป็นพิเศษ) และย้อยมาทางตะวันออกเป็นรัฐอัสสัม (ไทยอาหม) นาคาแลนด์ เม็กกาลายา มณีปุระ ฯลฯ

          รัฐมณีปุระนั้นติดพรมแดนพม่า ในบริเวณนี้มีชนกลุ่มน้อยอยู่มาก หน้าตาไปทางพวกเรา คล้ายคนภูฏาน และเนปาล (คนในสองประเทศนี้มีหน้าตา 2 แบบ คือ แบบเรากับแบบแขก) Mary ก็หน้าตาออกมาทางคนอีสาน

          ความที่มีหน้าตาแปลกจากคนอินเดียทั่วไปจึงถูกกีดกันโดยสารพัดรูปแบบ อย่างไรก็ตามการที่มาจากชนเผ่าที่ต้องต่อสู้มาตลอดนับร้อยปีเพื่อความอยู่รอด เธอจึงเป็นคนแข็งแกร่งและใช้ความเด่นนี้มาฝึกฝนเป็นนักมวย

          เธอเติบโตมาด้วยอาหารสองมื้อต่อวัน ปากกัดตีนถีบ ปัจจุบันเธอมีอายุ 31 ปี ตลอดเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา เธอขยันฝึกซ้อม ต่อยคู่ต่อสู้พ่ายแพ้ยับเยินและได้รับรางวัลระดับนานาชาตินับไม่ถ้วน

          เธอมีลูกถึง 3 คนระหว่างชกมวยและได้รับ 5 เหรียญทองจาก Women’s World Amateur Boxing Championship และใน Asian Women’s Boxing Championship เธอได้รับ 4 เหรียญทองอีกด้วย

          ในโอลิมปิกเกมส์ที่ลอนดอนครั้งล่าสุดเธอได้เหรียญทองแดง และได้รับเหรียญทองจากกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งล่าสุดที่เกาหลีใต้ เธอชกครั้งใดแฟนอินเดียนับร้อย ๆ ล้านคนให้กำลังใจเธอ ทั้งที่ในชีวิตจริงกว่าที่เธอจะฝ่าฟันความเอนเอียงในใจของแฟน ๆ ขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้นั้นต้องใช้เหงื่อและน้ำตาไปมากมาย

          เพื่อให้เห็นภาพว่าเธอต้องต่อสู้อะไรมาบ้าง ลองดูสถิติบางประการของประเทศบ้านเกิดของเธอ ในจำนวนของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบมีเด็กหญิง 945 คนต่อเด็กชาย 1,000 คน ในปี 1981 ต่อมาในปี 1991 ลดลงเหลือ 927 คน ในปี 2001 เหลือ 914 คน และในปัจจุบันลดลงต่ำกว่า 900 คน มีอะไรเกิดขึ้นกับเด็กหญิงในอินเดียหรือ

          ด้วยการใช้เครื่องอุลตร้าซาวด์ตรวจเพศเด็กในท้องด้วยเงินเพียง 600 รูปี พ่อแม่ก็ตัดสินใจได้ว่าจะทำแท้งหรือไม่ การมีลูกสาวในอินเดียต้องเสียสินสอด หากยากจนไม่มีเงินสินสอดก็จะเสียหน้ามาก และหากแต่งงานไปแล้วไม่สามารถช่วยอุดหนุนลูกสาวและลูกเขยก็แทบจะอยู่ไม่ได้ในหมู่บ้าน ดังนั้นความต้องการลูกชายไว้สืบสกุลจึงมีสูง (จริง ๆ แล้วลูกสาวนั่นแหละผู้สืบสกุลที่แท้จริงเพราะรู้แน่ว่าลูกที่คลอดออกมาเป็นหลานแน่ ๆ หากมีลูกชายก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นหลานจริง)

          เด็กหญิงที่สามารถรอดมาจนเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างปกติจึงนับว่าโชคดีมาก แน่นอนมีพ่อแม่ไม่มากคู่ที่เห็นดีเห็นงามกับการทำแท้ง แต่ลูกสาวก็ต้องฝ่าฟันเติบโตขึ้นผ่านความรู้สึกการเป็นสังคมของผู้ชายของอินเดีย

          Mary เป็นชนกลุ่มน้อยจึงอาจรอดพ้นจากการปฏิบัติแบบนี้ไป เมื่อเริ่มชกมวยก็ประสบกับกรรมการมวยที่เอนเอียงไม่ชอบเธอ ไม่ชอบสไตล์การชกของเธอที่ดุดัน และไล่ล่าคู่ต่อสู้ตลอด (ว่ากันว่าใครเป็นโรคปอด แค่เห็นท่าทีของเธอก่อนชกก็เสียขวัญจนแพ้ในใจไปแล้ว)

          ชีวิตเธอมีการสร้างเป็นหนังไปเมื่อกลางปี 2014 และได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี มีข่าวว่าดาราหญิงหลายคนแย่งกันเล่นเป็นตัวเธอ แต่กี่คนก็ตามสวยกว่าตัวจริงไปทุกคนจน ผู้อำนวยการมีปัญหามาก

          สิ่งที่เตะตาเทรนเนอร์แต่แรกเมื่อเธอหันมาเอาดีทางมวยเพราะไม่มีหนทางใดที่เหมาะกว่านี้สำหรับเธอก็คือความจริงจัง มุ่งมั่น บากบั่น เมื่อคนอื่นเลิกซ้อมแล้วเธอก็ยังไม่ยอมเลิก ยังฝึกซ้อมต่ออย่างเป็นที่ทราบกันดีในค่าย เมื่อเทรนเนอร์จับคู่ให้เธอซ้อมกับผู้ชาย เธอก็แสดงฝีไม้ลายมือจนหาคู่ซ้อมได้ยาก

          คนที่ไม่ชอบเธอบอกว่าเธอเป็นคนก้าวร้าวบนเวทีเพราะเธอมาจากเผ่าพันธุ์ที่ดุดัน แต่ถึงจะไม่ชอบเธอก็ต้องยอมรับว่าเธอเป็นคนถ่อมตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จริงจังกับการชกมาก จนบางครั้งสร้างความตึงเครียดให้แก่ทีมของเธอ แต่นั่นก็คือตัวตนจริงของเธอที่ทุกคนยอมรับแล้วในปัจจุบัน

          นักมวยที่มีอายุขึ้นตัวเลขสามต่างรู้ว่าปลายยุคของอาชีพตนเองได้ใกล้เข้ามาแล้ว Mary ก็ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ พร้อมกับรู้ถึงความจำเป็นในการดูแลลูกชาย 3 คนของเธอที่กำลังโตขึ้นทุกวัน

          ถึงแม้ Mary Kom เป็นขวัญใจคนอินเดียที่หน้าตาเป็น ASEAN แต่เธอก็ภูมิใจในการเป็นคนอินเดียของเธอ ทั้งหมดเธอได้ทำในนามของประเทศบ้านเกิด

          Mary Kom เป็นคนธรรมดาที่พิเศษ เพราะเธอเอาชนะทุกการต่อสู้ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการมีวัฒนธรรมและหน้าตาแปลกแยก ความยากจน การกีดกันไม่ให้เท่าเทียม ความอคติ ทั้งหมดนี้พ่ายแพ้เธอราบคาบก็เพราะจิตใจอันแข็งแกร่งที่สู้ทุกอย่างที่เธอต้องเผชิญหน้า

หมอดูกับเลือกตั้งศรีลังกา

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
3 กุมภาพันธ์ 2558

          หมอดูศรีลังกาจำนวนมากหน้าแตกไปตาม ๆ กันเมื่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเร็ว ๆ นี้ออกมาอย่างตรงกันข้ามกับคำพยากรณ์ ประเทศที่มีความใกล้ชิดทางศาสนากับเรามากประเทศนี้กำลังมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและจะมีผลโยงใยไปถึงเรื่องสังคมและเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

          ศรีลังกาเป็นเกาะอยู่ทางใต้ของอินเดีย ชายฝั่งของสองประเทศห่างกันแค่ไม่ถึง 50 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 65,000 ตารางกิโลเมตร (100 เท่าของภูเก็ต) มีประชากร 21 ล้านคน ร้อยละ 70 เป็นพุทธ ร้อยละ 13 เป็นฮินดู ร้อยละ 10 เป็นมุสลิม และร้อยละ 7 นับถือศาสนาคริสต์

          ระยะเวลา 25 ปี ของการต่อสู้ระหว่างคนศรีลังกาด้วยกันจบลงในปี 2009 ด้วยการฆ่าสมาชิกของกลุ่มทมิฬแบ่งแยกดินแดนที่เรียกตัวเองว่า Liberation Tigers of Tamil Eelam (LTTTE) อย่างทารุณถึงกว่า 40,000 คน

          ศรีลังกาหรือซีลอน (ชื่อเมื่อก่อนหน้าปี 1972) เป็นแหล่งที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่าง ชาวสิงหล (หน้าตาคล้ายคนไทย นับถือศาสนาพุทธ) ทมิฬ (ผิวดำเป็นฮินดูมีหน้าตาเหมือนแขก อินเดียทางตอนใต้) และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ มายาวนานนับพันปี จนกระทั่งเกิดกลุ่มกบฏทมิฬต้องการแบ่งแยกดินแดนและต่อสู้ด้วยวิธีการก่อการร้าย

          ผู้นำรัฐบาลที่ปราบ LTTE ได้ราบคาบด้วยความรุนแรง คือ นาย Mahinda Rajapaksa ซึ่งเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ ค.ศ. 2005 ในตอนแรกเขาได้รับความชื่นชมจากประชาชนทั่วไปที่ต้องการเห็นความสงบเรียบร้อยแต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาความนิยมลดลงเป็นลำดับเมื่อได้รับรู้ความรุนแรงในการปราบปราม และรู้เห็นการใช้อำนาจเผด็จการเพิ่มมากขึ้นทุกทีของประธานาธิบดี ตลอดจน การเล่นพรรคเล่นพวกแถมรายล้อมด้วยผลประโยชน์ของวงศาคณาญาติท่ามกลางคอร์รัปชั่นที่แพร่ระบาดหนักหน่วง

          นาย Rajapaksa ได้จัดการให้มีการยกเลิกข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่ให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งต่อเนื่องได้เพียงสองสมัย แก้กฎหมายให้อำนาจประธานาธิบดีเพิ่มมากขึ้น น้องชายคนหนึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อีกคนหนึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจ น้องชายอีกคนเป็นประธานรัฐสภา ลูกชายคนโตเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ญาติอีกหลายคนของประธานาธิบดีได้รับตำแหน่งใหญ่โตในรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ

          เหตุการณ์ที่ประชาชนระอาก็คือในปี 2013 พรรคของประธานาธิบดีถอดถอนประธานศาลฎีกาหญิงที่ขัดขวางการใช้อำนาจของประธานาธิบดีอย่างไม่อายฟ้าดิน และแต่งตั้งคนของตนเองเป็นแทน เสียงไม่พอใจดังขึ้นจนประธานาธิบดีชิงประกาศเลือกตั้งก่อนถึงกำหนดถึง 2 ปี เพราะมั่นใจว่าจะชนะแน่

          คราวนี้แหละก็ถึงการออกโรงของบรรดาโหรทั้งหลาย คนศรีลังกาโดยปกติเป็นคนเชื่อถือเรื่องดวง นับถือโชคลาง ฤกษ์ผานาที เหมือนคนพม่า คนไทย คนลาว คนกัมพูชา ฯลฯ ซึ่งถ้าจะว่าไปก็คนแถวนี้เกือบทั้งหมด เมื่อถึงเวลาทำนายอนาคตครั้งสำคัญนี้โหรจะนั่งอยู่เฉย ๆ ได้กระไร

          โหรมือดีถูกเชิญมานั่งเรียงกันเป็นลูกชิ้นปิ้งออกโทรทัศน์ โหรฝั่งรัฐบาลบอกว่าดวงของ นาย Rajapaksa นั้นแข็งนักขนาดเอาชนะกบฏทมิฬมาแล้ว ก็อีแค่เลือกตั้งแค่นี้นะหรือไม่พอมือแน่ ดังนั้นจะชนะเลือกตั้งครั้งนี้อย่างแน่นอน บางคนพูดไปไกลถึงว่าอย่าว่าแต่คราวนี้เลย ต่อให้ในการแข่งขันเป็นประธานาธิบดีเทอมที่สี่ก็จะชนะอีกด้วย

          โหรฝ่ายคู่แข่งคือนาย Sirisena ก็ทำนายว่าฝ่ายตรงข้ามชนะแน่ แต่เมื่อได้รับเชิญมาน้อยคนกว่าเพราะรัฐบาลครอบงำสื่ออย่างเต็มที่และเป็นผู้จัดรายการทำนายครั้งนี้จึงฟังดูมีน้ำหนักน้อยกว่า

          คนศรีลังกานั้นเชื่อหมอดูไม่น้อยไปกว่าคนไทย ฝ่ายรัฐบาลต้องการให้เกิดจิตวิทยาของฝูงชนคือเมื่อรู้แน่ว่าชนะก็จะได้ออกมาร่วมลงคะแนนให้ (ฝรั่งเรียกว่า Bandwagon Effect) หรือหากเป็นฝ่ายตรงข้ามจะได้ถอดใจไม่มาลงคะแนน

          อย่างไรก็ดีในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2015 นาย Sirisena คู่ต่อสู้ของประธานาธิบดีเป็นผู้ชนะไปด้วยคะแนนร้อยละ 51.2 กับคะแนนร้อยละ 47.6 ของนาย Rajapaksa ซึ่งเรียกได้ว่าฉิวเฉียด นาย Sirisena ชนะอย่างหน้าบาน แต่บรรดาโหรฝ่ายรัฐบาลหน้าแตกชนิดหมอปฏิเสธเย็บ

          นาย Sirisena นั้นเมื่อก่อนหน้าที่ประธานาธิบดี Rajapaksa ประกาศให้มีการเลือกตั้ง เป็นเลขาธิการพรรคของประธานาธิบดี และเป็นรัฐมนตรีคนสำคัญของรัฐบาล ทันทีที่ประกาศลงแข่งก็ถูกนาย Rajapaksa ปลดออกจากพรรคพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่แยกตัวออกมาด้วยความโกรธที่อาจหาญมาแข่งขันกับ ‘ราชา’ ที่ว่ากันว่าเกือบยึดประเทศได้สำเร็จแล้ว

          นาย Rajapaksa แนบแน่นกับจีน และชอบพอกับรัสเซีย หันหลังให้โลกตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ส่วนนาย Sirisena นั้นนโยบายแตกต่างออกไป ผู้วิจารณ์การเมือง เชื่อว่าชัยชนะของนาย Sirisena ผู้เป็นนักการเมืองมาอย่างโชกโชนในวัย 63 ปี เคยเป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวงในหลายรัฐบาลและหลายพรรคจะเปลี่ยนผันทิศทางของศรีลังกา

          ประธานาธิบดีคนใหม่สาบานตนเข้าดำรงตำแหน่งในวันรุ่งขึ้นหลังเลือกตั้งทันที (ไม่ยอมให้ประธานศาลฎีกาที่นาย Rajapaksa แต่งตั้งเป็นผู้ประกอบพิธี) ประกาศว่าจะปรับลดอำนาจของประธานาธิบดีลง โดยจะหันประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ใช้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากประชาชนเป็นฐานไปสู่การได้นายกรัฐมนตรีจากสภาฯ ทั้งหมดจะกระทำให้เสร็จในเวลา 100 วัน

          คำถามที่คนสงสัยก็คือเหตุใดประธานาธิบดี Rajapaksa จึงยินยอมถ่ายโอนอำนาจให้ง่ายดายนักหลังจากมีการประกาศคะแนนไม่นาน คำตอบที่ปรากฏในสื่อต่างประเทศก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังฉาก โดยมีความว่าจริง ๆ แล้วประธานาธิบดีนั้นเชิญผู้นำทุกเหล่าทัพเข้าหารือทำนองจะทำรัฐประหารเมื่อรู้ว่าจะแพ้ แต่เมื่อมีการปฏิเสธและมีการสัญญาจากประธานาธิบดีคนใหม่ว่าจะไม่มีการรื้อฟื้นคดีฆ่าโหดกบฏทมิฬขึ้นมาเล่นงานนาย Rajapaksa ในระดับประเทศและระหว่างประเทศ การถ่ายโอนอำนาจจึงเป็นไปอย่างราบรื่น

          สื่อต่างประเทศอีกกระแสหนึ่งกล่าวว่าประธานาธิบดีคนใหม่ Sirisena ก็ไม่น่าจะรื้อฟื้นคดีเพราะในปลายยุคการปราบกบฏทมิฬที่มีความรุนแรงนั้นตัวเขาเองก็เป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่รับผิดชอบงานนี้อยู่ด้วย

          ศรีลังกาเป็นมิตรประเทศที่ดีของไทยมายาวนาน ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงเรารับ พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์จากลังกาในประมาณ พ.ศ. 1820 เพื่อมาเผยแพร่ทั่วอาณาจักรสุโขทัย และต่อมาในสมัยอยุธยา พ.ศ. 2294 รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สยามได้ส่งสมณทูตไทยจำนวนสิบรูปไปลังกาตามคำทูลของพระเจ้ากิตติราชสิงหะกษัตริย์ลังกาเพื่อทำการบรรพชาอุปสมบท กุลบุตรชาวลังกาจนเกิดนิกายสยามวงศ์ขึ้นในลังกาซึ่งสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้

          ศรีลังกาตั้งอยู่ในตำแหน่งสำคัญของเส้นทางเดินเรือของเรือบรรทุกสินค้และน้ำมันของชาวโลก และอยู่ใกล้อินเดียซึ่งกำลังกลายเป็นคู่แข่งขันสำคัญของจีน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงเป็นที่จับตาของชาวโลก และโลกได้เรียนรู้ว่าอย่าไปเชื่อหมอดู จงเชื่อคะแนนเลือกตั้งที่สุจริตจากประชาชนเท่านั้น